โรคแผลร้อนใน หรือ แผลแอฟทัส (Aphthous ulcer, Aphthous stomatitis, Canker sore, Recurrent aphthous ulcer – RAU, Ulcerative stomatitis) คือ โรคจากการมีแผลเปื่อยในช่องปากที่พบได้บ่อย อาจเกิดบริเวณส่วนใดของช่องปากก็ได้ อาจจะมีเพียงแผลเดียวหรือหลายแผล แผลอาจมีขนาดเล็กไม่ถึงเซนติเมตรหรืออาจใหญ่เป็นหลายเซนติเมตรก็ได้ ส่วนความเจ็บจะขึ้นอยู่กับขนาดของแผลและความรุนแรงของโรค โรคนี้มักจะเป็นครั้งแรกในช่วงวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว มักเป็น ๆ หาย ๆ อยู่เป็นประจำ โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง นอกจากสร้างความรำคาญ
โรคแผลร้อนใน (Aphthous Ulcer)
แผลร้อนในเป็นโรคที่พบได้บ่อยตั้งแต่ในเด็กเล็กไปจนถึงวัยผู้สูงอายุ แต่มักจะพบได้บ่อยในช่วงวัยรุ่นจนถึงวัยหนุ่มสาว โดยเฉพาะในผู้หญิงจะพบได้บ่อยกว่าผู้ชาย เมื่ออายุมากขึ้นจะเป็นห่างออกไปเรื่อย ๆ และบางรายอาจหายขาดเมื่อมีอายุมาก จากสถิติที่ผ่านมาพบว่าประมาณ 15-30% ของประชากรทั่วโลกจะเป็นโรคนี้ บางคนอาจเกิดได้ประมาณน้อยกว่า 4 ครั้งต่อปี ซึ่งเป็นกรณีที่พบได้บ่อยประมาณ 80-90% ของผู้ป่วย แต่บางคนก็อาจเกิดบ่อยกว่า 1 ครั้งต่อเดือน ซึ่งเป็นกรณีที่พบได้น้อยประมาณ 10% ของผู้ป่วย
สาเหตุที่เกิดแผลร้อนใน
ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดโรคนี้อย่างแน่ชัด แต่เชื่อว่าเกิดจากปัจจัยหลาย ๆ อย่างร่วมกัน และอาจมีความสัมพันธ์กับปฏิกิริยาภูมิต้านทานของร่างกายด้วย โดยพบว่าประมาณ 30-40% ของผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้บ่อย ๆ จะมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ด้วย (สาเหตุจากพันธุกรรม) จึงทำให้เชื่อได้ว่าโรคนี้สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ และโดยส่วนใหญ่จะเกิดอาการขึ้นมาเองโดยไม่ต้องมีสิ่งมากระตุ้น แต่ในส่วนน้อยก็พบว่ามีสิ่งกระตุ้นให้อาการกำเริบขึ้นมาได้เช่นกัน ได้แก่
- ความเครียด ความกังวล ความเหนื่อยล้า อารมณ์โมโหฉุนเฉียว เช่น เครียดจากการทำงาน การอ่านหนังสือสอบมาก ๆ หรือเครียดจากปัญหาภายในครอบครัว (เพราะจากการศึกษาพบว่า การเกิดแผลร้อนในมีความสัมพันธ์กับอาชีพและระดับความวิตกกังวล)
- พักผ่อนไม่เพียงพอ นอนดึก นอนน้อย (เชื่อว่าเป็นสาเหตุอันดับต้น ๆ ของสิ่งที่มากระตุ้น)
- การได้รับบาดเจ็บในช่องปาก เช่น เยื่อบุปากหรือลิ้นถูกกัดในขณะเคี้ยวอาหาร หรือถูกแปรงสีฟัน ฟันปลอม หรือจากอาหารแข็ง ๆ เข้าไปกระทบกระแทกในช่องปาก
- การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาแอสไพริน ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ยาอะเลนโดรเนตที่ใช้รักษาโรคกระดูกพรุน (Alendronate) เป็นต้น
- การรับประทานอาหารที่มีฤทธิ์ร้อน เช่น ของทอด ของมัน เนื้อติดมัน เหล้า เบียร์ ขนมปังเบเกอรี่ ของหวาน ไอศกรีม ผลไม้ที่มีรสหวานมาก ๆ
- การรับประทานอาหารที่มีรสจัดมากเกินไป เช่น เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด หวานจัด
การรักษา โรคแผลร้อนใน
- เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคนี้ที่แน่ชัด แนวทางในการรักษาแผลร้อนในในปัจจุบันที่สามารถทำได้ก็คือ การรักษาแบบประคับประคองไปตามอาการที่เป็น ได้แก่
- บ้วนปากด้วยน้ำเกลือวันละ 2-3 ครั้ง (ผสมเกลือ 1 ช้อนชาในน้ำ 1 แก้ว) ซึ่งน้ำเกลือนอกจากจะช่วยรักษาแผลได้แล้ว ยังช่วยทำให้ปากสะอาด แบคทีเรียลดลงอีกด้วย
- ในกรณีที่มีอาการปวดให้อมน้ำแข็งก้อนเล็ก ๆ หรือดื่มน้ำเย็น ๆ ถ้ามีอาการปวดมากให้กินยาพาราเซตามอล (Paracetamol) เพื่อบรรเทาอาการ (ส่วนใหญ่โรคนี้จะค่อย ๆ หายได้เองตามธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องใช้ยาอื่น ๆ นอกจากยาแก้ปวดเป็นครั้งคราว)
- ถ้าอาการปวดรุนแรงหรือต้องการให้แผลหายโดยเร็ว ให้ป้ายแผลด้วยยาชนิดใดชนิดหนึ่งดังต่อไปนี้ วันละ 2-4 ครั้ง จนกว่าแผลจะหาย
- สเตียรอยด์ เช่น ครีมป้ายปากไตรแอมซิโนโลน อะเซโทไนด์ (Triamcinolone acetonide) ชนิดขี้ผึ้ง 1% ใช้ทาวันละ 3 ครั้งหลังอาหาร, ฟลูโอซิโนโลน อะเซโทไนด์ (Fluocinolone acetonide) 0.1% ชนิดสารละลายหรือชนิดขี้ผึ้ง ใช้ทาวันละ 3 ครั้งหลังอาหาร, คลอร์เฮกซิดีน กลูโคเนต (Chlorhexidine gluconate) 0.2%-1% ใช้อมบ้วนปาก 10 มิลลิลิตร อม 1 นาที วันละ 2 ครั้ง
- เช้าและเย็น หรือหลังอาหาร ยาชา เช่น เจลลิโดเคน (Lidocaine) ชนิด 2%
- อาจให้ยาปฏิชีวนะเมื่อสงสัยว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย
- ให้สารอาหารและน้ำทางหลอดเลือดดำในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการเจ็บแผลมากจนรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำไม่ได้ หรือได้น้อย
- ในผู้หญิง แผลร้อนในอาจกำเริบในขณะที่มีประจำเดือน ซึ่งอาจป้องกันได้ด้วยการกินยาเม็ดคุมกำเนิด และเมื่อตั้งครรภ์ก็มักจะไม่มีอาการกำเริบจนกว่าจะคลอด
- ในรายที่ใช้วิธีอื่น ๆ ไม่ได้ผล หรือเป็นแผลร้อนในชนิดคล้ายเริม ให้รักษาด้วยการใช้ยาเตตราไซคลีน (Tetracycline) ขนาด 250 มิลลิกรัม ผสมกับน้ำ 180 มิลลิลิตร หรือยาดอกซีไซคลีน (Doxycycline) ขนาด 100 มิลลิกรัม ผสมกับน้ำ 10 มิลลิลิตร ใช้กลั้วคอประมาณ 3 นาที วันละ 4 ครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลา 5 วัน ซึ่งวิธีนี้จะช่วยลดอาการปวดและช่วยทำให้แผลหายเร็วขึ้นได้
- นอกจากนี้แพทย์บางท่านอาจแนะนำให้ปฏิบัติตัวตามคำแนะนำดังต่อไปนี้ (ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์)
- ดื่มน้ำสะอาดให้มากขึ้น อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว เมื่อไม่มีโรคที่ต้องจำกัดการดื่มน้ำ
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ในทุกมื้ออาหาร โดยเฉพาะโฮลเกรน นม ถั่ว ไข่ ตับ เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ปลา และอาหารทะเล เพื่อให้แน่ใจว่าร่างกายจะได้รับวิตามินบี กรดโฟลิก ธาตุเหล็ก และสังกะสี (อาหารนึ่งเป็นวิธีการง่าย ๆ ที่สามารถช่วยรักษาระดับโฟเลตหรือกรดโฟลิกไว้ได้)
- หลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อให้เกิดการระคายแผล เช่น อาหารแข็ง อาหารทอด อาหารเผ็ด อาหารเปรี้ยวจัด และอาหารรสจัดอื่น ๆ เครื่องดื่มร้อน ๆ และผลไม้ที่มีฤทธิ์เป็นกรด เช่น มะนาว ส้ม รวมไปถึงเครื่องดื่มรสซาบซ่าทั้งหลาย แล้วหันไปรับประทานอาหารอ่อนที่มีรสจืดหรือรสเย็น เพื่อลดการระคายเคืองในช่องปากและลดอาการเจ็บช่องปาก (อาหารที่มีฤทธิ์เย็น ได้แก่ ผักกาดขาว, แตงกวา, แตงไทย, ตำลึง, ฟักเขียว, หัวไชเท้า, มะระ, มะเฟือง, ชะอม, ปวยเล้ง, ถั่วเขียว, กระเจี๊ยบ, เก๊กฮวย, อ้อย, ส้มโอ, ลองกอง, มังคุด, มะตูม, รากบัว, หล่อฮั้งก้วย, ใบบัวบก เป็นต้น)
- รับประทานอาหารเย็น ๆ เช่น ไอศกรีม ดื่มน้ำเย็น ๆ เพราะความเย็นจะช่วยทำให้ช่องปากชุ่มชื่นมากขึ้น
- ผ่อนคลายความเครียดด้วยการออกกำลังกายกลางแจ้งในที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์เป็นประจำ พักผ่อนให้เพียงพอ
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่แพ้ การใช้ยา และยาสีฟันที่เป็นสิ่งกระตุ้น (เปลี่ยนชนิดยาสีฟันที่เคยใช้อยู่)
- รักษาความสะอาดในช่องปากให้ดี แปรงฟันทุกครั้งหลังจากรับประทานอาหารไปแล้วอย่างน้อย 30 นาที ใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละ 1 ครั้งก่อนแปรงฟันเข้านอน
- ใช้แปรงสีฟันขนาดเล็กและมีขนนุ่มเพื่อไม่ให้ปากถูกกระทบกระแทก
- หยุดใช้น้ำยาบ้วนปากชั่วคราว เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจายไปทั่วปากหรือเข้าไปในแผล แต่ถ้าอยากจะบ้วนปากจริง ๆ แนะนำให้เปลี่ยนมาใช้น้ำมันจากใบชาแทนจะดีที่สุด เพื่อช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อโรคและแบคทีเรีย หรืออาจใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีคุณสมบัติในการยับยั้งแบคทีเรียเพื่อช่วยคลายความเจ็บปวดแทนก็ได้
- หลีกเลี่ยงการตากแดดจัด ๆ เพราะจะทำให้อุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้น (แม้ว่าอาการร้อนในจะไม่สัมพันธ์กับอุณหภูมิในร่างกายก็ตาม) แนะนำให้กินวิตามินหรือเกลือแร่เสริมอาหาร เช่น ให้กรดโฟลิกหรือวิตามินบีในรายที่ขาด, ให้ยาบำรุงเลือดในรายที่เลือดจางจากการขาดธาตุเหล็ก เป็นต้น
- ควรรีบไปพบแพทย์เมื่อผู้ป่วยมีอาการเจ็บแผลมากขึ้น หรือมีอาการรุนแรงมากขึ้น, รับประทานอาหารหรือดื่มน้ำได้น้อย, แผลไม่หายภายใน 2-3 สัปดาห์ (เพื่อแยกจากแผลมะเร็งช่องปาก), มีไข้ (เพราะแผลอาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน), ในรายที่เป็นร้อนในเป็น ๆ หาย ๆ อยู่บ่อย ๆ หรือเพิ่งเป็นร้อนในครั้งแรกเมื่อมีอายุมากกว่า 40 ปี ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุอื่น ๆ เพิ่มเติม
หมายเหตุ : สำหรับแผลเปื่อยที่เกิดจากการบาดเจ็บทั่วไป เช่น ถูกฟันกัด ถูกแปรงสีฟันครูดหรือกระแทก รากฟันปลอมเสียดสี ฯลฯ มักจะทำให้เกิดเป็นแผลเพียง 1-2 แผลที่ริมฝีปาก ลิ้น หรือเหงือก ซึ่งแผลเปื่อยชนิดนี้ไม่มีอันตรายและมักหายไปได้เองภายใน 1 สัปดาห์ ส่วนการรักษานั้นให้ใช้วิธีบ้วนปากด้วยน้ำเกลือวันละ 2-3 ครั้ง หรือกินยาแก้ปวดเมื่อรู้สึกปวด หรือถ้าอักเสบเป็นหนองให้ป้ายด้วยเจนเชียนไวโอเลต แต่ถ้าแผลเกิดลุกลามหรือไม่หายภายใน 3 สัปดาห์ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ ส่วนในรายที่เกิดจากฟันปลอมไม่กระชับ เสียดสีจนเป็นแผลอยู่บ่อย ๆ ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อแก้ไขฟันปลอมให้กระชับขึ้น เพราะถ้าหากปล่อยทิ้งไว้ อาจเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากได้ครับ